หน้าแรก > [REVIEW]::ทริปฮ่องกงลงคาน 3วัน 2คืน บิน Cathay pacific+(สรุปค่าใช้จ่ายแบบละเอียดยิบ)

[REVIEW]::ทริปฮ่องกงลงคาน 3วัน 2คืน บิน Cathay pacific+(สรุปค่าใช้จ่ายแบบละเอียดยิบ)
by AEKKERR 26/03/2019

02:00 : เดินทางไปสนามบินสุวรรณภูมิ สายการบิน CX616
04:00 : เช็คอินที่หน้าเค้าเตอร์เปิดให้บริการเช็คอินแล้วว ***ให้ตรงไปที่เค้าเตอร์ M สายการบิน Cathay Paclflc***
ก่อนวันเดินทาง นอนไม่หลับเลย เพราะว่าเป็นไฟล์ทดึกมาก ต้องไปถึงสนามบินสุวรรณภูมิตอน ตี2 เพราะว่าต้องไปเช็คอินก่อน ตี4 หน้ามันก็จะง่วงๆหน่อย อาหารบนเครื่องบิน ได้อยู่ บนเครื่องมีจอให้ดูหนังฟังเพลง ***ฟังไปเถอะบินหลายชั่วโมงมาก ราว3ชั่วโมงกว่าๆ เบื่อสุด***

พอเครื่องออกแล้ว เราก็จะไปเอากระเป๋าเดินทางของเรา แต่สิ่งที่แอบกลัวคือ ต.ม จีนเขาแนะนำมาว่าให้จำชื่อโรงแรมเอาไว้ และก็ทำหน้าปกติ เพราะบางทีเขาจะสุ่มถาม จะไม่ถามทุกคน


ความสูงไม่เท่าไหร่ มันจะเบื่อตรงที่ต้องนั่งอยู่บนนี้นานมาก ประมาณ 25นาทีกันเลยทีเดียว แล้วเราก็นั่งมาถึง หมู่บ้านนองปิง เป็นทางผ่านวัดที่เราจะไปไหว้ขอเนื้อคู่นั้นเอง



ไม่รอช้า !! รีบไปไหว้พระกัน มันโสดจนทนไม่ไหวแล้ว จุดที่ยืนในรูปคือจุดขอพรที่สวยมาก มองขึ้นไปเห็นองค์พระ สวยและอากาศหนาวถึงจะแดดออก แต่ก็ยังเป็นลมหนาวๆอยู่ดี




ตรงอีกฝั่งนึง มันจะมีวัดเก่าๆอยู่ เป็นวัดจีนโบราณ ที่ส่วนใหญ่คนเข้าไปดูความสวยงามมากว่า แต่ก็สามารถไหว้เจ้าได้อีกด้วย ส่วนระหว่างทางไปนั้น ของขาย พวกเครื่องรางก็มีเต็มไปหมดไม่แพ้กัน แต่ราคาแอบแรงมาก

ด้านในก็จะประมาณนี้เป็นคล้ายๆวังโบราณมากกว่า ส่วนเรื่องประวัตินั้น ความเป็นมา อันนี้ไม่รู้จริงๆต้องขออภัยไว้ด้วย

หลังจากเราไหว้พระขอพรเสร็จทุกอย่าง ระหว่างทางนั่งกระเช้าลงมา ทุกคนดูหมดแรงกันหมดเลย 55+ ไม่มีใครหยิบจับกล้องมาถ่ายเลย เข้าใจเลยว่าเหนื่อยและเพลียเป็นยังไง

ไปต่อที่ City Gate สำหรับนักช็อปก็แนะนำแต่เราไม่เน้นช็อปเลยคิดว่ามันไม่มีอะไรที่น่าสนใจเลย ใครพกเงินมาเยอะ และเงินมาเยอะไม่รู้จะเอาไปลงที่ไหน ที่นี้ก็แนะนำน่ะ แต่ช่วงที่ไปเป็นฤดูหนาวพอดี เสื้อกันหนาวของแบรนด์เนมดังๆ ต่างๆก็มาที่นี้ได้ ***ใครอยากรู้ หรือว่าดูรูปด้านในทักมาขอได้น่ะ*** ด้านล่างห้างก็จะเป็นคล้ายๆบ้านเรา ท็อป หรือขายอาหาร และของใช้จำเป็น

จบไปกับวันแรก เหนื่อยพอตัวเลยน่ะ ใครที่คิดว่าไปวัดไม่เหนื่อย #คิดผิด แต่ก็สนุกดี มันให้เราเห็นบ้านเห็นเมืองเขา ความคิดผิดๆของคนไทยที่คิดว่าบ้านเขาสกปรก คือคิดผิดอีกเช่นกัน สะอาดมาก ไม่พอเมืองบ้านเขาเจริญมากด้วย มีครบทุกสิ่งที่ต้องการ ถนนใหญ่ กว้าง สะอาด ถือว่าวันแรกครบจบจริงๆ


เช้าวันที่ 2คือนอนน้อยมาก มัวแต่นอนคุยกับเพื่อนเพลินๆปาไปตี1 ตี2 แล้วมาพบกับอาหารเช้าที่ดูแล้วก็น่าตาคล้ายๆกับแถวบ้านเรา พอกินเข้าไปบางอย่างก็รสชาติไม่เหมือนบ้านเราเท่าไหร่ แต่ที่ติดคืออาหารบ้านเขาจะมีรสชาติที่จืด และมัน ความมันนี้มันไปหมด อยู่ทุกๆซอกของอาหาร


แล้วเราก็มาถึงวันแรกของวันนี้คือวัด เจ้าแม่กวนอิม หาดรีพลัสเบย์ ถือว่าเป็นวัดที่ดังของที่นี้เลยน่ะ ที่สำคัญหันไปทางไหนก็เจอแต่คนไทย คนไทยมาเยอะมาก ระหว่างนั้นก็ถามคนที่มาร่วมทริปด้วยว่า ปกติมาบอกไหม “ปกติมาบอก มาขอพรแล้วสมหวังเลยจะมาแก้บน” เราก็โห อึ้งอยู่นะ กลับไปไทยนี้ได้มีคู่กับเขาเลยไหม แล้วต้องมาแก้บนแบบเขาไหม

พอก้าวเข้าวัดเจ้าแม่กวนอิม ทางด้านซ้ายมือก็เจอท่านเลย ตั้งสูงสง่างามมาก ส่วนถัดไปอีกองค์ก็จะเป็นเจ้าแม่ทับทิม สวยและสง่างามมากเช่นกัน ด้านหลังวัดจะเป็นภูเขาสูงและคอนโดของคนรวยๆ ส่วนด้านหน้าจะเป็นหาดรีพลัสเบย์ ที่คนจีนเชื่อกันว่าเป็นจุดที่ดีที่สุด และศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของเกาะฮ่องกง

ในส่วนของการขอพรกับเจ้าแม่กวนอิม เราจะไม่ขอพรเรื่องคู่ ***(คหสต)*** เพราะจริงๆแล้วด้านในของวัดจะมีอีกเทพเจ้าที่ขอเรื่องความรักโดยตรงเลย ส่วนการขอพรนั้น ไม่ยากเลย ให้ไปยืนที่ตรงหน้าเจ้าแม่กวนอิม แล้วก้มหน้าขอพรสิ่งที่อยากได้ พอขอเสร็จก็ให้เงยหน้ามองตาของเจ้าแม่กวนอิม
ส่วนตรงรูปปั้นตรงหน้าท่านนั้นจะเป็นเทพเจ้าเกี่ยวกับการเงิน ให้นำแบงค์ฮ่องกง ที่มีเลข 8 เยอะๆยิ่งดีใบรูปที่ตัวรูปปั้นเพื่อเป็นขวัญถุงเงินถุงทอง เงินทองอยู่ติดกระเป๋าไม่หายไปไหนง่ายๆ ค้าขายขึ้น รวย

หลังจากนั้นเราไม่รอช้า รีบพุ่งตรงไปที่เทพเจ้าขอพรเรื่องความรัก แต่ก่อนจะเข้าไปได้เราจะต้องเจอกับสะพานต่ออายุ หรือสะพานสีแดงนี้นั้นเอง เป็นความเชื่อว่าถ้าข้ามสะพานนี้จะสามารถต่ออายุไปได้อีกนาน ***ข้ามได้ปีละครั้งเท่านั้น***

นี้คือเทพเจ้าที่เราจะมาขอพรกันนั้นเอง ในมือของท่านถือสมุดรายชื่อคู่รักไว้ด้วย ก็หมายความว่าท่านจะจดชื่อของคนที่ขอพรความรักลงไปนั้นเอง
วิธีขอพร พูด ชื่อจริง นามสกุล สเปคที่ชอบ สูง ยาว เข่าดี ชาติไหนก็ได้ หลังจากนั้นให้ไปที่หินของท่านแล้วให้ไปลูบไข่สีดำลูบขึ้น 3ครั้ง เป็นอันสำเร็จภาระกิจที่ยิ่งใหญ่นี้

บรรยากาศรอบๆก็จะมีเทพอีกหลายองค์มาก แต่เราก็จะไม่อธิบายเยอะมากเพราะยังมีจุดพีคอีกอย่าง

ที่เห็นนี้คือเป็นศาลา 8เหลี่ยม ที่ชาวฮ่องกงถือว่าเป็นจุดที่ดีที่สุด เป็นทิศของเทพเจ้าทั้ง 8ทิศ เราต้องเข้าไปยืนในวงก่อนแล้วอธิฐานขอพรเรื่องที่อยากได้ อยากขอ หลังจากนั้นให้เข้าแถวแล้วไปยืนที่หน้าป้ายแล้วเอามือสองข้างลูบลงมาให้เป็นเลข 8 เพื่อความเป็นศิริมงคล

ชาวจีนเชื่อว่า เลข 8 เป็นเลขมงคลที่สุดทำอะไรค้าขายก็ต้องเลข 8 เท่านั้น

***ไม่ต้องพกเสื้อหนาวมาขนาดนั้นก็ได้ คิดว่าจะไปเดินแบบ***


หลายๆคนอาจจะคุ้นเคยดีในวัดที่มีกังหัน ลองเข้ามาดูว่ามันจะเป็นยังไง

วันนี้ ใครๆก็ต้องแห่กันมาขอพร เรื่องความรัก และความปลอดภัยแน่นอน เพราะที่นี้ถือว่าศักดิ์สิทธิ์มากๆ มีประวัติตามที่ไกด์ได้เล่า ก็แอบขนลุก และเจ้คนเดิมแกก็มาแก้บนวันนี้ด้วย พึ่งสังเกตุว่าเจ้แก ห้อยทองเต็มตัวไปหมด ถือว่าเจ้แกรุ่งจริงๆ

เดินเข้าไปทางประตูใหญ่สีแดงๆ สิ่งแรกที่เห็น คือควัน ควันเยอะมาก และคนก็แน่นเต็มไปหมด เขาก็พาเราไปซื้อธูปมาไหว้ขอพร คนขายธูปนางพูดไทยได้ด้วย แต่เป็นคนจีนแท้ๆนะ
วิธีการไหว้ ***ตามรูปที่ 3***
ถือธูปแล้วหันหน้าออกไปทางออกประตู แล้วให้ขอพรได้เลย เรื่องความรักเลยที่ขอเป็นสิ่งแรก หลังจากนั้นก็ขอเรื่องความปลอดภัยด้วยเพราะที่นี้ถือว่า 2เรื่องนี้เป็นเรื่องหลักๆ ถึงจะเป็นฤดูหนาว แต่อากาศร้อนและอบอ้าวมาก ขอบอก ไม้ต้องพกไปนะเสื้อหนาๆ เอาแค่บอกกันลมหนาวได้ก็พอ

พอขอพรหน้าวัดเสร็จ ก็ถึงเวลาได้เข้าไปในตัววัด เข้าไปถึงก็จะเห็นพระองค์ใหญ่ สูง สง่า สีเหลืองทอง ดูน่าเกรงขามมาก สีหน้า สีตาดูดุดัน ด้านข้างก้จะมีกันหัน ซ้าย ขาว ที่เวลาหมุนจะต้องหมุนต่างกัน

ในตูด้านหน้า ก็จะมีกังหันที่เป็นของจริง และเป็นของโบราณในสมัยก่อนที่ท่านออกรบจริงๆ



วันที่3 เลือกมาที่ช็อปปิ้ง ไม่ได้อยากจะมาช็อปปิ้งจริงๆ ตั้งใจอยากมาดู เพราะเห็นคนไปแล้วก็ต้องพูดถึงที่นี้ จิมซาจุ่ย ถือว่าใครที่มาฮ่องกง ก็ต้องมาให้ได้อ่ะ

กว่าจะมาถึงที่นี้ได้ ก็ปาไปบ่ายๆแล้ว เพราะทางทัวร์ก็พาไปแวะกินข้าว ร้านเครื่องราง ร้านที่ใช้ตังเยอะๆ แต่เราจะพูดถึงแค่อันที่เราประทับใจ ก็คงเป็นถนนคนเดินนี้แหละ

พอมาถึง ก็คนแน่นคนเยอะเลยจ้า อาจจะเพราะเป็นฤดูแห่งการท่องเที่ยวฮ่องกง คนมาช็อปปิ้งเยอะมาก ส่วนใหญ่จะเป็นพวกของแบรนด์เนม ที่ปลอดภาษีราคาถูกกว่าไทยครึ่งๆเลย แต่ เดิน งง มาก เดินไปเดินมา กลับมาจุดเดิมก็มี

เลยหันไปถามเจ้ที่มาบ่อยๆว่า เขาไปเดินที่ไหนกัน คือเราเดินไม่เป็นแน่ๆ เขาเลยแน่นอน K11 เป็นรวมของกินด้วย และก็ร้านแบบไม่ใช่แบรนด์เนมด้วย เราก็เลยเปิดแผนที่เดินตามมันไปเลย

เราก็เดินตามทางมาจนเจอ ถนน K11 รอบๆก็เป็นร้านขายของ ถ้าเทียบกับไทยก็ประมาณว่า ขายของส่ง ปลีก ไรประมาณนี้ ส่วนใหญ่เราจะไปดูของกินมากกว่า ที่นี้ของกินเยอะอยู่นะ

ร้านในรูปคือ ไปที่ไหนก็เจอ แถววัดก็เจอ ถนนคนเดินยิ่งเจอเลย ถ้าในไทยก็คงเป็นร้านขายข้าวเหนียวหมูปิ้ง ไปไหนก็เจอ ลองชิมแล้ว รสชาติออกเครื่องเทศจีน รสชาติเผ็ชช ร้อนน ก็ถือว่าโอเค คุ้มค่า ต้องไปลองนะ

เดินหาของกินต่อ ไม่รอแล้วน้าา

เดินไปเดินมา เจอร้านเล็กๆ ที่คนแน่นอีกแล้ว ไม่ลองไม่ได้แล้ว เป็นคล้ายๆ บะหมี่เกี๊ยวน้ำ/แห้ง


ร้านต่อมาเป็นชาไข่มุก ที่ก่อนมาไปอ่านรีวิวมาว่าต้องมากิน เลยจัด ไปตามล่าเจอร้านนี้คนเยอะ ถามวัยรุ่นจีนเขาก็แนะนำมาร้านนี้ สั่งแบบ งงๆ แต่บอกเขาว่าเอาน้ำแข็งเยอะๆ สรุปได้น้ำแข็งมาน้อยมากเพราะคนจีนส่วนใหญ่ไม่กินน้ำแข็ง รสชาติ ถ้าเอาตรงๆถือไม่อร่อย (คหสต) คือมันจืด และไม่หวานเท่าไหร่ พอสั่งไปมาเห็นคนสั่งแบบที่ร้านนิยมคือ ชาไข่มุกรสเผือก เลยพลาดไปเลย ตกแก้วละ 100กว่าบาทไทย แพงใช้ได้อ่ะ
